ย้อนกลับไปสมัยมัธยมศึกษาปีที่๔ หากถามว่าประทับใจเรื่องใดมากที่สุดในหนังสือแบบเรียนวิชาภาษาไทย หลายเสียงคงตอบว่าเรื่อง”มอม” เรื่องสั้นแสนประทับใจที่ถูกตั้งตามชื่อตัวละครหลัก ผลงานการเขียนจากผู้รักหมาที่เป็นทั้งนักปราชญ์ นักเขียน นักการเมือง และศิลปินแห่งชาติ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช
มอมอยู่ในเรื่องสั้นชุด”เพื่อนนอน” เรื่องสั้นเรื่องนี้ผู้แต่งได้เขียนไว้ที่คำนำว่าเป็นเรื่องสั้นที่รักมากเป็นพิเศษ เพราะเขียนขึ้นมาจากประสบการณ์จริง เพราะผู้แต่งเป็นคนเลี้ยงและรักสุนัข ซึ่งโครงเรื่องนี้ได้กล่าวถึงมอมอยู่กับนายและครอบครัวของนายมาตั้งแต่มันจำความได้ มันรักนายยิ่งกว่าชีวิต นายเองก็รักมันและเลี้ยงดูด้วยความรักมาโดยตลอด จนวันที่นายได้รับจดหมายให้ไปเป็นทหาร จากนั้นชีวิตของมอมก็ไม่มีความสุขอีกเลย ภัยจากสงครามได้มาพร้อมกับระเบิดที่ทำให้นายผู้หญิงและหนูเสียชีวิต ร่างทั้งสองถูกฝังไว้ใต้กองดินพร้อมกับบ้านทั้งหลังที่ถูกไฟไหม้ มอมรอดตายด้วยอาการบาดเจ็บและหิวโหย แต่โชคดีที่คุณแต๋วมาพบมอมในสภาพที่กำลังจะตาย จึงเกิดความสงสารและเก็บเอามันไปเลี้ยง ด้วยความสำนึกในบุญคุณ มอมจึงยอมอยู่กับคุณแต๋วหากแต่ภายในจิตใจยังคงเฝ้ารอคอยนายอยู่ วันหนึ่งมอมเห็นโจรเข้ามางัดแงะหวังจะขโมยของ มอมรีบกระโจนเข้าใส่หวังจะจับโจรแต่โจรคนนั้นกลับไม่ใช่ใครที่ไหน คือ นาย ที่มันรักสุดหัวใจและเฝ้ารออยู่เสมอ นายผู้มีสภาพสิ้นหวังและอ่อนแรง ไม่สามารถจะเลี้ยงดูมันได้อีกต่อไป แต่ด้วยความรักของมอมที่มีต่อนายทำให้นายใจอ่อนและยอมให้มอมตามนายไปทุกที่เป็นเพื่อนผู้แสนซื่อสัตย์ของนายที่มันรักตลอดไป
เรื่องสั้นเรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยการแนะนำตัวละคร เล่าถึงลักษณะนิสัย ความเป็นอยู่และชีวิตของมอม แสดงถึงภาพความสุขของครอบครัวของนายและมอม เป็นการแสดงความรักของมอมที่มีต่อนายและความเอ็นดูของนายมีให้แก่มอม นายสอนให้มอมคาบกิ่งไม้ที่นายโยนลงไปในน้ำ มอมชอบเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดนายและมันก็มักจะชวนนายให้ทำเช่นนี้เสมอๆ จนถึงวันที่มอมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบกายและนายต้องออกจากบ้านไปเป็นทหาร เป็นจุดวิกฤต (Crisis) ที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในเรื่อง เป็นการพลิกแนวการดำเนินเรื่องให้อยู่ในอารมณ์เศร้า เพราะในช่วงแรกนั้นทั้งหมดจะพบแต่ความสุข ความสดใส และผู้แต่งก็ได้ให้เรื่องดิ่งลงไปถึงความเศร้าอีกระดับ เมื่อนายผู้หญิงและหนูก็เสียชีวิตด้วยการถูกระเบิดพร้อมกับบ้านทั้งหลังที่ถูกไฟไหม้ หากมอมรอดตายแต่ก็ต้องเลี้ยงตัวเองอย่างยากลำบาก ต่อมาผู้แต่งก็ได้เลิกสร้างความสะเทือนใจโดยให้คุณแต๋วมาพบมอมและนำไปเลี้ยงที่บ้านจนหายดีและอยู่กับคุณแต๋วเรื่อยมา จนวันหนึ่งที่มอมเห็นโจรจะเข้ามางัดบ้าน มันจึงรีบกระโจนเข้าใส่ หากแต่โจรนั้นกลับเป็นนายของมันเอง จุดนี้เองคือจุดสำคัญที่สุดของเรื่อง (Climax) เพราะเป็นการคลายปมของตัวละครและเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องราวและการรอคอยของมอม หากแต่เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่นายจะยอมให้มอมไปกับนายด้วย เพราะนายในตอนนี้อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากขอทาน แต่ด้วยความรัก ความซื่อสัตย์และความแสนรู้ของมอม มอมคาบกิ่งไม้ชักชวนให้นายเล่น ชวนให้นึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุขของมอมและนาย เป็นการสะท้อน (Echo) ภาพในอดีตที่มอมและนายเคยได้ใช้เวลาร่วมกัน ทำให้นายมองเห็นและรับรู้ได้ถึงความรู้สึกและความรักของมอมที่มีต่อนาย ในที่สุดนายก็ยอมใจอ่อนยอมให้มอมเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ตัวเดียวของเขาติดตามไปด้วยทุกแห่งหน
การดำเนินเรื่องของเรื่องนี้ดำเนินเรื่องด้วยตัวละครหลักอย่าง”มอม”สุนัขพันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์ไทยกับอัลเซเชียน ตัวละครที่ลักษณะไม่ซับซ้อน มีลักษณะเพียงด้านเดียว คือความรักที่มีต่อนาย จะเห็นได้จากคำพูด “มอมไม่ได้รักนายเท่าชีวิต แต่นายเป็นชีวิตของมอม” “มอมมันเป็นหมาที่มีแต่หัวใจ และหัวใจของมันก็มอบให้นาย” ต่อมาเมื่อนายไปเป็นทหารแต่มอมก็ยังคงรักนายและเคียงข้างนายเสมอ ความรักของมอมที่มีต่อนายนั้นไม่มีอะไรสามารถมาขัดขวางได้ แม้แต่ระยะทางและระยะเวลา 2 ปี ที่มอมได้มาอาศัยอยู่บ้านของคุณแต๋วหลังจากบ้านเดิมไฟไหม้เพราะโดนระเบิด นายผู้หญิงและหนูเสียชีวิตลง แต่ในหัวใจของมอมยังคงเฝ้ารอนายเสมอ จะเห็นได้จากคำพูด “แต่มอมมันไม่กระปรี้กระเปร่ารื่นเริงเหมือนแต่ก่อน เพราะถึงมอมมันจะสบายก็สบายแต่กาย ใจของมอมยังคอยนายอยู่เสมอไม่มีวันลืม” และในช่วงปิดเรื่องมอมก็ได้แสดงออกถึงความรักที่มีต่อนายโดยตัดสินใจที่จะออกจากบ้านคุณแต๋วแล้วไปกับนาย จะเห็นได้จาก “มอมมันกระดิกหางแรงกว่าเก่าและวิ่งรอบ ๆ ตัวนาย ๆ ไล่มันอยู่หลายครั้งแต่มอมมันก็ไม่ฟัง นายกลับมาแล้วมอมจะไม่ให้นายพ้นสายตาอีกต่อไป ความจริงนายเปลี่ยนไปมากเพราะผอมลง ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าขาดวิ่น แต่อย่างไรก็ยังเป็นนายของมอม นายที่มันทิ้งไม่ได้”
ตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่งคือนายของมอม เขาไม่ได้มีนิสัยในด้านเดียวตลอดทั้งเรื่อง เขาเปลี่ยนแปลงความประพฤติในช่วงท้าย ผู้เขียนไม่ได้กล่าวโดยตรงว่านายมีลักษณะนิสัยอย่างไรในตอนต้นเรื่อง แต่จุดที่สามารถคาดการณ์ได้ว่า นายได้ประพฤติสิ่งที่ผิดไปจากเดิม คือในตอนท้ายเรื่อง นายได้สารภาพกับมอมว่าเป็นครั้งแรกที่ลงมือขโมย ว่า “ข้าหมดหนทางจริง ๆ มอมเอ๋ย แต่เอ็งอย่านึกว่าข้าเคยลักขโมย ครั้งนี้เป็นครั้งแรก พอดีพบเอ็ง ๆ ก็ทำให้ข้าต้องอาย ทำไม่ลง” จะเห็นได้ว่า การกระทำที่ผิดนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยกระทำมาก่อน ดังนั้น ลักษณะนิสัยของเขาก่อนหน้านี้ต้องแตกต่างจากเดิม
สำหรับฉากในเรื่องนี้มี๒ฉากด้วยกันคือฉากบ้านของนาย บ้านหลังแรกที่มอมใช้ชีวิตอยู่ “บ้านสองชั้นเล็ก ๆ ค่อนข้างจะเก่า และไม่ได้ทาสี” ถึงแม้จะเป็นบ้านเก่า แต่เมื่อมีนาย นายผู้หญิง และหนู มอมก็มีความสุขแล้ว และฉากบ้านของคุณแต๋ว บ้านหลังที่สองที่มอมได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไม่ลำบากเหมือนก่อนออกมาจากบ้านนาย ได้กินอิ่มและมีคนเอาใจใส่ แต่ถึงจะเป็นสถานที่ที่ให้ความสุขแก่มอมได้แต่เป็นเพียงทางกาย แต่ทางจิตใจยังเฝ้ารอนาย ซึ่งเหตุการณ์ในเรื่องอยู่ในช่วงเวลาก่อน ระหว่าง และหลังสงครามโลกครั้งที่๒ มีการบรรยายฉากให้เห็นฉากที่เมืองโดนตีทั้งฉากที่มีการเปิดเสียงสัญญาณเตือนภัยหรือเสียงไซเรนเปิดดังไปทั่วเมื่อมีเครื่องบินบินเข้ามาโจมตีหรือทิ้งระเบิด “ในท่ามกลางความมืดและความเงียบสงัดนั้น มีเสียงที่มันไม่เคยได้ยินมาแต่ก่อนดังก้องไปทั่ว มอมมันเข้าใจว่าเป็นเสียงหมาหอน แต่หมาตัวที่หอนนั้นมันจะต้องใหญ่โตมหึมาน่าสะพรึงกลัวเสียเป็นที่สุดแล้ว เสียงหอนนั้นดังเป็นระยะๆถี่ ๆ มอมตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น หมาที่ไหนหนอสามารถหอนให้ได้ยินทั่วตัวเมือง” ฉากหลุมหลบภัย ซึ่งสร้างไว้เพื่อหลบภัยจากระเบิดจากเครื่องบินทิ้งระเบิด มีการสร้างหลุมหลบภัยอยู่มาก โดยหลุมหลบภัยสาธารณะจะมีขนาดใหญ่จุคนได้มากกว่า นายผู้หญิงของมอมก็ขุดเช่นเดียวกัน“หลังจากนั้นไม่ว่ามอมจะไปทางใด เห็นแต่คนขุดหลุมกันทั่วไป ใหญ่บ้างเล็กบ้าง”“ต่อจากนั้นเมื่อมีเสียงเครื่องบิน มีเสียงหมาหอนมอมก็เห็นนายผู้หญิงอุ้มหนูวิ่งลงไปอยู่ในหลุมทุกครั้ง”
ส่วนการใช้ภาษาในเรื่องมอมนั้นเป็นการใช้ภาษาที่สั้น กะทัดรัด กระชับ ทำให้สามารถอ่านและทำความเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งสามารถใช้ภาษาในการบรรยายให้เห็นภาพแสดงได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้อ่านได้ใช้จินตนาการและเกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับเนื้อเรื่องในตอนนั้นๆ เช่น ลักษณะท่าทางและการแสดงความรักของมอม การบรรยายภาพและความรู้สึกที่ทั้งเจ็บปวดและทุกข์ทรมานทั้งทางกายและทางใจของตัวละคร เช่น นาย นายผู้หญิงและมอม รวมไปถึงสภาพบรรยากาศของความเดือดร้อนและความเสียหายจากผลพวงแห่งสงคราม ล้วนเป็นผลมาจากการใช้ภาษาที่เรียบง่ายและสุภาพ เป็นการใช้ภาษาที่ไม่เก่าและไม่ทันสมัยจนเกินไป มีความร่วมสมัยและมีลักษณะของการใช้ภาษาในช่วงเวลานั้นๆ ปะปนอยู่มาก หากแต่ยังสามารถสื่อถึงความหมายและดำเนินเรื่องราวได้อย่างราบรื่นและสละสลวย
นอกจากองค์ประกอบของเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว ภายในเรื่องยังมีประเด็นที่สามารถหยิบยกมากล่าว ได้แก่รัฐบาลไม่มีสวัสดิการให้กับทหารที่กลับมาจากสงคราม สังเกตได้จากตอนที่มอมได้พบกับนายในครั้งหลังที่นายกลับมาจากการเรียกตัวเข้ารับใช้ชาติ นายไม่ได้กลับมาในภาพของความสง่างาม หากแต่กลับมาด้วยภาพลักษณ์ของขโมย ผู้กำลังงัดหน้าต่างเพื่อที่จะลักลอบเข้ามาภายในบ้านของผู้อื่น สภาพร่างกายผ่ายผอม ผมเผ้ารุงรัง เสื้อผ้าขาดวิ่น ไม่มีที่ไป จากทหารที่รับใช้ชาติ ต้องกลายมาเป็นขโมย
หากพิจารณาถึงความขัดแย้งในประเด็นข้างต้นว่า ทำไมผู้เขียนถึงได้สร้างให้ตัวละครมีภาพลักษณ์ขัดแย้งกัน แต่เมื่อพิจารณาถึงตัวผู้เขียนและทัศนะในด้านการเมืองจะพบว่า ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เป็นผู้ที่มีบทบาทในด้านการเมืองในสมัยนั้น ดังนั้น ทัศนะคติในเรื่องการเมืองจึงมีสอดแทรกอยู่ภายในเรื่องสั้นเรื่องนี้ด้วย โดยที่ผู้เขียนได้แฝงนัยกับตัวละคร “นาย” ไว้ว่า รัฐบาลไม่มีสวัสดิการช่วยเหลือประชาชนหลังจากสิ้นสงคราม โดยเฉพาะบุคคลที่รับใช้ชาติจากการเป็นทหารผ่านศึกที่ต้องใช้ชีวิตและเลือดเนื้อเข้าแลกเพื่อปกป้องประเทศ แต่พอสิ้นสงคราม เมื่อบ้านของเขาไฟไหม้เพราะโดนระเบิด เขากลับต้องกลายเป็นคนไร้ที่พัก ไร้หลักแหล่ง
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือการสะท้อนบทบาทของสตรีในบทบาทของช้างเท้าหลัง และมีความรับผิดชอบเฉพาะงานในบ้านและการอบรมเลี้ยงบุตร จะเห็นโดยตลอดว่านายหญิงจะมีหน้าทีในการจัดการงานบ้านทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำกับข้าว ทำความสะอาดบ้าน อีกทั้งเลี้ยงดูบุตรสาว เนื่องจากสังคมมีทัศนคติและค่านิยมนี้ตั้งแต่โบราณ ที่จะเน้นให้ผู้หญิงเป็นแม่ศรีเรือน เพราะฉะนั้นเมื่อผู้เป็นสามีจากไปเป็นทหาร เธอจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากขายของเก่า นอกจากนั้นเธอยังอยู่ในลักษณะช้างเท้าหลังอย่างแท้จริง คือเชื่อฟังคำสามี สังเกตจากตอนที่กล่าวว่า “บางวันนายผู้หญิงต้องยอมอดทนเพื่อให้ลูกกินได้ หรือมิฉะนั้นก็ต้องกินแต่น้อยเพื่อให้มอมซึ่งผัวฝากใว้ได้กินให้อิ่ม” เธอยอมอดเพื่อให้มอมกินอิ่มเพียงเพราะคำสั่งของสามีเท่านั้นแทนที่จะห่วงตนเองก่อน
และประเด็นสุดท้าย เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนรักหมาคนหนึ่ง จึงเขียนเรื่องนี้โดยทำใจว่าตนเป็นหมา เขียนด้วยมุมมองของหมา เขียนด้วยความรู้สึกของมัน ดังนั้นจากเรื่อง “มอม” จึงไม่ใช่แค่หมาธรรมดา แต่กลายเป็นสัตว์ที่มีชีวิตจิตใจ ความรู้สึกเช่นเดียวกับคน มิใช่ดำเนินตามสัญชาตญาณเช่นสัตว์ทั่วไป สังเกตได้จากคำที่ผู้เขียนใช้ในการพรรณนาความคิดหรือความรู้สึกของมอม “ที่มอมปฏิสนธิขึ้นมาได้ก็เพราะอุปัทวเหตุ...” อาจกล่าวได้ว่า “มอม” สัตว์สี่เท้าที่ผู้เขียนแต่งขึ้นมาในเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงผู้เฝ้าบ้านและเพื่อนเล่นยามเหงา แต่เปรียบเหมือนสัตว์สองเท้าที่มีความคิดและจิตใจ เป็นทั้งเพื่อนแท้ และครอบครัวที่รักและอยู่ด้วยกันโดยตลอด ไม่ว่าเวลาใด
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น