วันอาทิตย์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2553

The Lake House การเชื่อมเวลา จดหมาย กระจก สะพาน และบ้านริมทะเลสาบ


 หลายครั้งที่บทหนังของชาวตะวันออกได้เดินทางข้ามทวีปไปสู่ดินแดนชาติตะวันตกเพื่อนำไปกำกับในอีกรูปแบบหนึ่ง ภาพยนตร์รักจากแดนโสมอย่าง    “Il Mare” ก็เช่นกันที่เดินทางข้ามทวีป โดยมีค่ายภาพยนตร์ยักษ์ใหญ่Warner Bros. Pictures เป็นผู้จ่ายค่าเดินทาง แล้วเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นฉบับตะวันตกด้วยฝีมือของผู้กำกับชาวอเจนติน่า อเลจันโดร อาเกรสติ  โดยตั้งชื่อใหม่ว่า “ The Lake House ” นอกจากนั้นยังได้นำ คีอานู รีฟ และแซนดร้า บูลล็อคคู่พระนางจากภาพยนตร์เรื่องspeedมาพบกันอีกครั้ง

The Lake House บ้านริมทะเลสาบในเมืองอิลลินอยส์ บ้านที่ดร.เคส ฟอเรสเตอร์แซนดร้า บูลล็อค )ต้องทิ้งไปอย่างเสียดาย เพราะตนเองต้องย้ายไปเป็นหมอประจำที่โรงพยาบาลในชิคาโก้ แต่ก่อนที่เธอจะออกจากบ้าน เธอได้ทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งไว้ในตู้จดหมายหน้าบ้าน เพื่อบอกที่อยู่ใหม่ของเธอแก่ผู้ที่จะมาอยู่คนถัดไป หากมีจดหมายของเธอส่งมาที่นี่ พร้อมบอกเรื่องรอยเท้าสุนัขหน้าบ้านและกล่องใต้หลังคาอีกด้วย
อเล็กซ์ ไวเลอร์( คีอานู รีฟ ) สถาปนิกหนุ่มได้ย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านริมทะเลสาบในช่วงฤดูหนาว เขาได้รับจดหมายของเคส ความสงสัยปรากฏขึ้นมาในตัวของชายหนุ่ม เพราะบ้านหลังนี้เขาเพิ่งซื้อมาและเป็นผู้ที่อาศัยอยู่เป็นคนแรก อีกทั้งรอยเท้าของสุนัขและกล่องใต้หลังคาที่ยังคงเป็นปริศนา หากแต่เขาก็ไม่พบความผิดปกติใดในบ้านหลังนั้น ดังนั้นอเล็กซ์จึงได้ส่งจดหมายกลับไปหาเคสเพื่อบอกว่าบ้านหลังนี้ร้างมาหลายปีแล้ว และเขาเป็นผู้ที่มาอยู่เป็นคนแรก
เคสกลับมาที่บ้านริมทะเลสาบอีกครั้งเพื่อมาพักใจเรื่องที่เธอไม่สามารถช่วยผู้ป่วยได้ เธอได้รับจดหมายของอเล็กซ์ และจากจดหมายฉบับนี้นี่เองที่ทำให้ทั้งคู่ค้นพบว่าเธอและเขาอยู่คนละช่วงเวลากัน หลังจากนั้นการตอบจดหมายผ่านตู้จดหมายหน้าบ้านริมทะเลสาบจึงเริ่มขึ้นพร้อมกับความรักที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นมาแม้ว่าทั้งคู่จะอยู่ห่างกันเป็นระยะเวลา2ปี

หากดูเพียงผิวเผินแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้คงเหมือนภาพยนตร์รักเรื่องอื่นๆทั่วไปที่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นของความรัก และความเศร้าในบางเวลา แต่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับหนังเรื่องนี้คือการใช้ สิ่งของและสถานที่เพื่อเป็นตัวเชื่อมระหว่างอเล็กซ์และเคส


สำหรับสิ่งของที่มาเป็นตัวเชื่อมในหนังเรื่องนี้ผู้กำกับได้เลือกมา 3 อย่าง สิ่งแรก คือจดหมายโดยมีตู้จดหมายหน้าบ้านริมทะเลสาบทำหน้าที่เสมือนบุรุษไปรษณีย์ที่คอยส่งจดหมายของทั้งคู่ข้ามกาลเวลา เพื่อให้ทราบเรื่องราวของกันและกัน เหตุใดผู้กำกับถึงต้องใช้การสื่อสารทางจดหมาย เนื่องจากความเป็นภาพยนตร์รักโรแมนติก การใช้จดหมายเป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ชมคล้อยตามอารมณ์เรื่องและเล็งเห็นถึงความตั้งใจของคนทั้งสองที่ต้องการถ่ายทอดความรู้สึกและเรื่องราวอย่างแท้จริง ทั้งนี้เพราะทั้งสองแทบจะไม่มีเวลาเลยเนื่องจากอาชีพที่ประกอบอยู่ แต่ทั้งคู่ก็ยังแบ่งเวลามาเขียนจดหมายติดต่อกัน นอกจากนั้นจดหมายเป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลาในการเดินทางนาน ดังนั้นจดหมายจึงเป็นนัยที่บ่งบอกถึงการรอคอย แสดงให้เห็นถึงความอดทนในการรอคอยจดหมายที่จะมาถึง เมื่อมองในอีกมุมหนึ่ง หากภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้ใช้การติดต่อผ่านจดหมาย ความเป็นภาพยนตร์รักโรแมนติกก็จะถูกทำลายลงทันที
สิ่งของต่อมาคือกระจก จะเห็นได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะเสนอภาพผ่านกระจกเป็นส่วนใหญ่เช่นฉากที่เคสเดินทางกลับไปยังบ้านริมทะเลสาบอีกครั้ง เธอเดินไปที่ตู้จดหมาย ตอนนี้เองที่ผู้กำกับเสนอภาพนางเอกผ่านกระจกรถ เป็นต้น นอกจากนั้นกระจกยังปรากฏอยู่ตลอดทั้งเรื่องไม่ว่าจะเป็นที่บ้านริมทะเลสาบซึ่งเปรียบเสมือนบ้านกระจกขนาดใหญ่ หรือจะเป็นฉากที่อเล็กซ์ชวนเคสไปเดินเล่นในเมืองตอนฤดูร้อน บ้านทุกหลังที่อเล็กซ์ให้เคสดูนั้น ล้วนมีกระจกทุกหลัง และโดยเฉพาะฉากที่ผู้กำกับเสนอภาพให้ในฉากนั้นแบ่งเป็นสามส่วนโดยมีเคสอยู่ทางซ้าย  อเล็กซ์อยู่ด้านขวาและมีตึกซึ่งมีกระจกมากมายอยู่ตรงกลางกั้นคนทั้งสองไว้ กระจกในหนังเรื่องนี้กำลังบอกเราว่ากระจกทำให้เรามองให้ทุกอย่างรอบๆได้ แต่ไม่สามารถสัมผัสได้ เหมือนกับที่  อเล็กซ์ได้พูดกับน้องชายไว้ในตอนต้นเรื่อง สิ่งนี้เปรียบเหมือนชีวิตของทั้งคู่ที่ต่างรับรู้เรื่องราวของกันและกันแต่ไม่สามารถสัมผัสตัวตนของอีกฝ่ายได้เลย
สิ่งของสุดท้ายคือสะพาน ตัวเชื่อมสำคัญแห่งการเดินทางของเวลาที่พาให้ทั้งสองมาพบกันในที่สุด เนื่องจากสะพานเป็นตัวแทนของการข้าม การเดินทาง และเชื่อมดินแดนสองฝั่ง สิ่งสองสิ่ง และคนสองคนให้มาพบกัน ในเรื่องนี้สะพานจึงเป็นจุดเชื่อมของเวลาผ่านเหตุการณ์หนึ่งในอดีตและปัจจุบัน โดยในฉากที่ อเล็กซ์กำลังทาสีสะพาน สุนัขตัวหนึ่งวิ่งผ่านไปทำให้เกิดเป็นรอยเท้าทอดไปบนสะพาน นำไปสู่เรื่องราวที่เคสได้บอกกล่าวไว้ในจดหมายถึงที่มาของรอยเท้าปริศนา เป็นการนำผู้ชมให้เดินทางกลับสู่อดีตควบคู่กับการดำรงอยู่ของปัจจุบันและเชื่อมทั้งสองช่วงเวลานั้นให้เดินทางควบคู่กันไป
นอกจากสิ่งของแล้ว สถานที่ยังเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้กำกับใช้เป็นตัวเชื่อมได้ สถานที่ดังกล่าวคือบ้านริมทะเลสาบ บ้านที่เป็นตัวแทนของความรักและความสัมพันธ์ระหว่างอเล็กซ์กับพ่อของเขา บ้านหลังนี้เป็นตัวคลายปมความขัดแย้งย่อยของคนทั้งสอง เนื่องจากบ้านหลังนี้เป็นเครื่องยืนยันความรักของพ่อที่มีต่อลูก  ยืนยันความรักของพ่อที่มีต่อแม่ และในขณะเดียวกันก็เป็นตัวแทนแห่งความโดดเดี่ยว ไม่ว่าจะเป็นพระเอกที่อาศัยอยู่เพียงคนเดียวในบ้าน ทั้งที่ตนเองก็มีพ่อและน้องชาย และนางเอกที่เช่าอาศัยอยู่เพียงคนเดียวเช่นกัน “บ้านริมทะเลสาบ” จึงกลายเป็นสิ่งเชื่อมโยงความโดดเดี่ยวของคนทั้งคู่ กลายเป็นความรักข้ามกาลเวลาอันแสนงดงาม

กล่าวได้ว่าความรักในเรื่อง The Lake House เป็นรูปแบบความรักที่เหนือกาลเวลา โดยมีสถานที่และสิ่งของเป็นตัวเชื่อมในความรักครั้งนี้ จนทำให้ผู้ชมประทับใจและดื่มด่ำไปกับสุนทรียภาพของความรักที่ต่างช่วงเวลา และการรอคอยกระแสแห่งเวลาที่จะไหลมาบรรจบในสักวันหนึ่ง...

วันเสาร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มอม :: ตัวอย่างของความซื่อสัตย์


ย้อนกลับไปสมัยมัธยมศึกษาปีที่๔  หากถามว่าประทับใจเรื่องใดมากที่สุดในหนังสือแบบเรียนวิชาภาษาไทย หลายเสียงคงตอบว่าเรื่องมอมเรื่องสั้นแสนประทับใจที่ถูกตั้งตามชื่อตัวละครหลัก ผลงานการเขียนจากผู้รักหมาที่เป็นทั้งนักปราชญ์ นักเขียน นักการเมือง และศิลปินแห่งชาติ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช

มอมอยู่ในเรื่องสั้นชุดเพื่อนนอนเรื่องสั้นเรื่องนี้ผู้แต่งได้เขียนไว้ที่คำนำว่าเป็นเรื่องสั้นที่รักมากเป็นพิเศษ  เพราะเขียนขึ้นมาจากประสบการณ์จริง เพราะผู้แต่งเป็นคนเลี้ยงและรักสุนัข ซึ่งโครงเรื่องนี้ได้กล่าวถึงมอมอยู่กับนายและครอบครัวของนายมาตั้งแต่มันจำความได้ มันรักนายยิ่งกว่าชีวิต นายเองก็รักมันและเลี้ยงดูด้วยความรักมาโดยตลอด จนวันที่นายได้รับจดหมายให้ไปเป็นทหาร จากนั้นชีวิตของมอมก็ไม่มีความสุขอีกเลย ภัยจากสงครามได้มาพร้อมกับระเบิดที่ทำให้นายผู้หญิงและหนูเสียชีวิต ร่างทั้งสองถูกฝังไว้ใต้กองดินพร้อมกับบ้านทั้งหลังที่ถูกไฟไหม้ มอมรอดตายด้วยอาการบาดเจ็บและหิวโหย แต่โชคดีที่คุณแต๋วมาพบมอมในสภาพที่กำลังจะตาย จึงเกิดความสงสารและเก็บเอามันไปเลี้ยง ด้วยความสำนึกในบุญคุณ มอมจึงยอมอยู่กับคุณแต๋วหากแต่ภายในจิตใจยังคงเฝ้ารอคอยนายอยู่ วันหนึ่งมอมเห็นโจรเข้ามางัดแงะหวังจะขโมยของ มอมรีบกระโจนเข้าใส่หวังจะจับโจรแต่โจรคนนั้นกลับไม่ใช่ใครที่ไหน คือ นาย ที่มันรักสุดหัวใจและเฝ้ารออยู่เสมอ นายผู้มีสภาพสิ้นหวังและอ่อนแรง ไม่สามารถจะเลี้ยงดูมันได้อีกต่อไป แต่ด้วยความรักของมอมที่มีต่อนายทำให้นายใจอ่อนและยอมให้มอมตามนายไปทุกที่เป็นเพื่อนผู้แสนซื่อสัตย์ของนายที่มันรักตลอดไป

เรื่องสั้นเรื่องนี้เปิดเรื่องด้วยการแนะนำตัวละคร เล่าถึงลักษณะนิสัย ความเป็นอยู่และชีวิตของมอม แสดงถึงภาพความสุขของครอบครัวของนายและมอม เป็นการแสดงความรักของมอมที่มีต่อนายและความเอ็นดูของนายมีให้แก่มอม นายสอนให้มอมคาบกิ่งไม้ที่นายโยนลงไปในน้ำ มอมชอบเวลาที่ได้อยู่ใกล้ชิดนายและมันก็มักจะชวนนายให้ทำเช่นนี้เสมอๆ จนถึงวันที่มอมสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นรอบกายและนายต้องออกจากบ้านไปเป็นทหาร เป็นจุดวิกฤต (Crisis) ที่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นภายในเรื่อง เป็นการพลิกแนวการดำเนินเรื่องให้อยู่ในอารมณ์เศร้า เพราะในช่วงแรกนั้นทั้งหมดจะพบแต่ความสุข ความสดใส และผู้แต่งก็ได้ให้เรื่องดิ่งลงไปถึงความเศร้าอีกระดับ เมื่อนายผู้หญิงและหนูก็เสียชีวิตด้วยการถูกระเบิดพร้อมกับบ้านทั้งหลังที่ถูกไฟไหม้ หากมอมรอดตายแต่ก็ต้องเลี้ยงตัวเองอย่างยากลำบาก ต่อมาผู้แต่งก็ได้เลิกสร้างความสะเทือนใจโดยให้คุณแต๋วมาพบมอมและนำไปเลี้ยงที่บ้านจนหายดีและอยู่กับคุณแต๋วเรื่อยมา จนวันหนึ่งที่มอมเห็นโจรจะเข้ามางัดบ้าน มันจึงรีบกระโจนเข้าใส่ หากแต่โจรนั้นกลับเป็นนายของมันเอง จุดนี้เองคือจุดสำคัญที่สุดของเรื่อง (Climax) เพราะเป็นการคลายปมของตัวละครและเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องราวและการรอคอยของมอม หากแต่เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่นายจะยอมให้มอมไปกับนายด้วย เพราะนายในตอนนี้อยู่ในสภาพที่ไม่ต่างจากขอทาน แต่ด้วยความรัก ความซื่อสัตย์และความแสนรู้ของมอม มอมคาบกิ่งไม้ชักชวนให้นายเล่น ชวนให้นึกถึงช่วงเวลาที่มีความสุขของมอมและนาย เป็นการสะท้อน (Echo) ภาพในอดีตที่มอมและนายเคยได้ใช้เวลาร่วมกัน ทำให้นายมองเห็นและรับรู้ได้ถึงความรู้สึกและความรักของมอมที่มีต่อนาย ในที่สุดนายก็ยอมใจอ่อนยอมให้มอมเพื่อนผู้ซื่อสัตย์ตัวเดียวของเขาติดตามไปด้วยทุกแห่งหน 
การดำเนินเรื่องของเรื่องนี้ดำเนินเรื่องด้วยตัวละครหลักอย่างมอมสุนัขพันธุ์ผสมระหว่างพันธุ์ไทยกับอัลเซเชียน  ตัวละครที่ลักษณะไม่ซับซ้อน มีลักษณะเพียงด้านเดียว คือความรักที่มีต่อนาย จะเห็นได้จากคำพูด มอมไม่ได้รักนายเท่าชีวิต  แต่นายเป็นชีวิตของมอม   มอมมันเป็นหมาที่มีแต่หัวใจ  และหัวใจของมันก็มอบให้นาย  ต่อมาเมื่อนายไปเป็นทหารแต่มอมก็ยังคงรักนายและเคียงข้างนายเสมอ ความรักของมอมที่มีต่อนายนั้นไม่มีอะไรสามารถมาขัดขวางได้  แม้แต่ระยะทางและระยะเวลา   ปี  ที่มอมได้มาอาศัยอยู่บ้านของคุณแต๋วหลังจากบ้านเดิมไฟไหม้เพราะโดนระเบิด  นายผู้หญิงและหนูเสียชีวิตลง  แต่ในหัวใจของมอมยังคงเฝ้ารอนายเสมอ จะเห็นได้จากคำพูด แต่มอมมันไม่กระปรี้กระเปร่ารื่นเริงเหมือนแต่ก่อน  เพราะถึงมอมมันจะสบายก็สบายแต่กาย  ใจของมอมยังคอยนายอยู่เสมอไม่มีวันลืม และในช่วงปิดเรื่องมอมก็ได้แสดงออกถึงความรักที่มีต่อนายโดยตัดสินใจที่จะออกจากบ้านคุณแต๋วแล้วไปกับนาย จะเห็นได้จาก มอมมันกระดิกหางแรงกว่าเก่าและวิ่งรอบ ๆ ตัวนาย ๆ ไล่มันอยู่หลายครั้งแต่มอมมันก็ไม่ฟัง  นายกลับมาแล้วมอมจะไม่ให้นายพ้นสายตาอีกต่อไป  ความจริงนายเปลี่ยนไปมากเพราะผอมลง  ผมเผ้ารุงรัง  เสื้อผ้าขาดวิ่น  แต่อย่างไรก็ยังเป็นนายของมอม  นายที่มันทิ้งไม่ได้

ตัวละครสำคัญอีกตัวหนึ่งคือนายของมอม เขาไม่ได้มีนิสัยในด้านเดียวตลอดทั้งเรื่อง เขาเปลี่ยนแปลงความประพฤติในช่วงท้าย ผู้เขียนไม่ได้กล่าวโดยตรงว่านายมีลักษณะนิสัยอย่างไรในตอนต้นเรื่อง  แต่จุดที่สามารถคาดการณ์ได้ว่า  นายได้ประพฤติสิ่งที่ผิดไปจากเดิม  คือในตอนท้ายเรื่อง นายได้สารภาพกับมอมว่าเป็นครั้งแรกที่ลงมือขโมย  ว่า  ข้าหมดหนทางจริง ๆ มอมเอ๋ย  แต่เอ็งอย่านึกว่าข้าเคยลักขโมย  ครั้งนี้เป็นครั้งแรก  พอดีพบเอ็ง ๆ ก็ทำให้ข้าต้องอาย ทำไม่ลง  จะเห็นได้ว่า  การกระทำที่ผิดนี้เป็นสิ่งที่เขาไม่เคยกระทำมาก่อน ดังนั้น  ลักษณะนิสัยของเขาก่อนหน้านี้ต้องแตกต่างจากเดิม
สำหรับฉากในเรื่องนี้มี๒ฉากด้วยกันคือฉากบ้านของนาย  บ้านหลังแรกที่มอมใช้ชีวิตอยู่ บ้านสองชั้นเล็ก ๆ ค่อนข้างจะเก่า  และไม่ได้ทาสี”  ถึงแม้จะเป็นบ้านเก่า  แต่เมื่อมีนาย นายผู้หญิง และหนู  มอมก็มีความสุขแล้ว และฉากบ้านของคุณแต๋ว  บ้านหลังที่สองที่มอมได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายไม่ลำบากเหมือนก่อนออกมาจากบ้านนาย  ได้กินอิ่มและมีคนเอาใจใส่  แต่ถึงจะเป็นสถานที่ที่ให้ความสุขแก่มอมได้แต่เป็นเพียงทางกาย  แต่ทางจิตใจยังเฝ้ารอนาย ซึ่งเหตุการณ์ในเรื่องอยู่ในช่วงเวลาก่อน ระหว่าง และหลังสงครามโลกครั้งที่๒ มีการบรรยายฉากให้เห็นฉากที่เมืองโดนตีทั้งฉากที่มีการเปิดเสียงสัญญาณเตือนภัยหรือเสียงไซเรนเปิดดังไปทั่วเมื่อมีเครื่องบินบินเข้ามาโจมตีหรือทิ้งระเบิด ในท่ามกลางความมืดและความเงียบสงัดนั้น  มีเสียงที่มันไม่เคยได้ยินมาแต่ก่อนดังก้องไปทั่ว  มอมมันเข้าใจว่าเป็นเสียงหมาหอน  แต่หมาตัวที่หอนนั้นมันจะต้องใหญ่โตมหึมาน่าสะพรึงกลัวเสียเป็นที่สุดแล้ว  เสียงหอนนั้นดังเป็นระยะๆถี่ ๆ มอมตัวสั่นด้วยความตื่นเต้น  หมาที่ไหนหนอสามารถหอนให้ได้ยินทั่วตัวเมือง ฉากหลุมหลบภัย  ซึ่งสร้างไว้เพื่อหลบภัยจากระเบิดจากเครื่องบินทิ้งระเบิด  มีการสร้างหลุมหลบภัยอยู่มาก  โดยหลุมหลบภัยสาธารณะจะมีขนาดใหญ่จุคนได้มากกว่า  นายผู้หญิงของมอมก็ขุดเช่นเดียวกันหลังจากนั้นไม่ว่ามอมจะไปทางใด  เห็นแต่คนขุดหลุมกันทั่วไป  ใหญ่บ้างเล็กบ้าง”“ต่อจากนั้นเมื่อมีเสียงเครื่องบิน  มีเสียงหมาหอนมอมก็เห็นนายผู้หญิงอุ้มหนูวิ่งลงไปอยู่ในหลุมทุกครั้ง

ส่วนการใช้ภาษาในเรื่องมอมนั้นเป็นการใช้ภาษาที่สั้น กะทัดรัด กระชับ ทำให้สามารถอ่านและทำความเข้าใจได้ง่ายและรวดเร็ว อีกทั้งสามารถใช้ภาษาในการบรรยายให้เห็นภาพแสดงได้อย่างชัดเจน ทั้งนี้ก็เพื่อให้ผู้อ่านได้ใช้จินตนาการและเกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับเนื้อเรื่องในตอนนั้นๆ เช่น ลักษณะท่าทางและการแสดงความรักของมอม การบรรยายภาพและความรู้สึกที่ทั้งเจ็บปวดและทุกข์ทรมานทั้งทางกายและทางใจของตัวละคร เช่น นาย นายผู้หญิงและมอม รวมไปถึงสภาพบรรยากาศของความเดือดร้อนและความเสียหายจากผลพวงแห่งสงคราม ล้วนเป็นผลมาจากการใช้ภาษาที่เรียบง่ายและสุภาพ เป็นการใช้ภาษาที่ไม่เก่าและไม่ทันสมัยจนเกินไป มีความร่วมสมัยและมีลักษณะของการใช้ภาษาในช่วงเวลานั้นๆ ปะปนอยู่มาก หากแต่ยังสามารถสื่อถึงความหมายและดำเนินเรื่องราวได้อย่างราบรื่นและสละสลวย

นอกจากองค์ประกอบของเรื่องที่กล่าวมาทั้งหมดแล้ว ภายในเรื่องยังมีประเด็นที่สามารถหยิบยกมากล่าว  ได้แก่รัฐบาลไม่มีสวัสดิการให้กับทหารที่กลับมาจากสงคราม สังเกตได้จากตอนที่มอมได้พบกับนายในครั้งหลังที่นายกลับมาจากการเรียกตัวเข้ารับใช้ชาติ  นายไม่ได้กลับมาในภาพของความสง่างาม  หากแต่กลับมาด้วยภาพลักษณ์ของขโมย  ผู้กำลังงัดหน้าต่างเพื่อที่จะลักลอบเข้ามาภายในบ้านของผู้อื่น  สภาพร่างกายผ่ายผอม  ผมเผ้ารุงรัง  เสื้อผ้าขาดวิ่น  ไม่มีที่ไป  จากทหารที่รับใช้ชาติ  ต้องกลายมาเป็นขโมย

หากพิจารณาถึงความขัดแย้งในประเด็นข้างต้นว่า  ทำไมผู้เขียนถึงได้สร้างให้ตัวละครมีภาพลักษณ์ขัดแย้งกัน  แต่เมื่อพิจารณาถึงตัวผู้เขียนและทัศนะในด้านการเมืองจะพบว่า  ม.ร.ว.คึกฤทธิ์  ปราโมช  เป็นผู้ที่มีบทบาทในด้านการเมืองในสมัยนั้น  ดังนั้น  ทัศนะคติในเรื่องการเมืองจึงมีสอดแทรกอยู่ภายในเรื่องสั้นเรื่องนี้ด้วย โดยที่ผู้เขียนได้แฝงนัยกับตัวละคร นาย”  ไว้ว่า  รัฐบาลไม่มีสวัสดิการช่วยเหลือประชาชนหลังจากสิ้นสงคราม  โดยเฉพาะบุคคลที่รับใช้ชาติจากการเป็นทหารผ่านศึกที่ต้องใช้ชีวิตและเลือดเนื้อเข้าแลกเพื่อปกป้องประเทศ  แต่พอสิ้นสงคราม  เมื่อบ้านของเขาไฟไหม้เพราะโดนระเบิด เขากลับต้องกลายเป็นคนไร้ที่พัก ไร้หลักแหล่ง 

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือการสะท้อนบทบาทของสตรีในบทบาทของช้างเท้าหลัง และมีความรับผิดชอบเฉพาะงานในบ้านและการอบรมเลี้ยงบุตร จะเห็นโดยตลอดว่านายหญิงจะมีหน้าทีในการจัดการงานบ้านทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นการทำกับข้าว ทำความสะอาดบ้าน อีกทั้งเลี้ยงดูบุตรสาว เนื่องจากสังคมมีทัศนคติและค่านิยมนี้ตั้งแต่โบราณ ที่จะเน้นให้ผู้หญิงเป็นแม่ศรีเรือน เพราะฉะนั้นเมื่อผู้เป็นสามีจากไปเป็นทหาร เธอจึงไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากขายของเก่า นอกจากนั้นเธอยังอยู่ในลักษณะช้างเท้าหลังอย่างแท้จริง คือเชื่อฟังคำสามี สังเกตจากตอนที่กล่าวว่า บางวันนายผู้หญิงต้องยอมอดทนเพื่อให้ลูกกินได้ หรือมิฉะนั้นก็ต้องกินแต่น้อยเพื่อให้มอมซึ่งผัวฝากใว้ได้กินให้อิ่ม เธอยอมอดเพื่อให้มอมกินอิ่มเพียงเพราะคำสั่งของสามีเท่านั้นแทนที่จะห่วงตนเองก่อน

และประเด็นสุดท้าย เนื่องจากผู้เขียนเป็นคนรักหมาคนหนึ่ง จึงเขียนเรื่องนี้โดยทำใจว่าตนเป็นหมา เขียนด้วยมุมมองของหมา เขียนด้วยความรู้สึกของมัน ดังนั้นจากเรื่อง มอมจึงไม่ใช่แค่หมาธรรมดา แต่กลายเป็นสัตว์ที่มีชีวิตจิตใจ ความรู้สึกเช่นเดียวกับคน มิใช่ดำเนินตามสัญชาตญาณเช่นสัตว์ทั่วไป สังเกตได้จากคำที่ผู้เขียนใช้ในการพรรณนาความคิดหรือความรู้สึกของมอม ที่มอมปฏิสนธิขึ้นมาได้ก็เพราะอุปัทวเหตุ...อาจกล่าวได้ว่า มอมสัตว์สี่เท้าที่ผู้เขียนแต่งขึ้นมาในเรื่องนี้ ไม่ใช่เพียงผู้เฝ้าบ้านและเพื่อนเล่นยามเหงา แต่เปรียบเหมือนสัตว์สองเท้าที่มีความคิดและจิตใจ เป็นทั้งเพื่อนแท้ และครอบครัวที่รักและอยู่ด้วยกันโดยตลอด ไม่ว่าเวลาใด